Online Marketing, YouTube

ใครว่า Online จะ Disrupt Offline ได้ทุกอย่าง มันอยู่ที่การปรับตัว

1 min read
Online Disruption Offline

ว่ากันว่าการเข้ามาของออนไลน์ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจถูก Disrupt บอกเลยครับว่าไม่จริง! เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่รอดได้ด้วยการปรับตัว อย่างการเข้ามาของ Uber ที่กระทบต่อแท็กซี่มิเตอร์ การเข้ามาของ Youtube ที่กระทบต่อวงการโทรทัศน์ที่เป็นสื่อออฟไลน์ การเข้ามาของ Social Media บางแพลตฟอร์มที่กระทบต่อสื่อสิ่งพิมพ์ แม้กระทั่งการเติบโตของเน็ตไอดอลในออนไลน์ก็กระทบต่อดารา โดยเฉพาะในแง่ของพรีเซ็นเตอร์

        ทั้งหมดนี้หลายคนอาจจะบอกว่าโลก Online มันช่าง Disrupt โลก Offline เสียจริง แต่ผมมองว่าไม่เสมอไปหรอกครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ

  1. คนขับแท็กซี่ก็สมัครเป็นคนขับผ่านแอปได้เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งพี่วินมอเตอร์ไซค์ก็ด้วย ซึ่งในตอนแรกก็อาจจะมีการขัดแย้งกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ปรับตัว ทั้งแพลตฟอร์มเอง และตัวผู้ให้บริการ
  2. ช่องโทรทัศน์ต่าง ๆ ก็สร้าง Channel เอง แถมทำได้ฟรีไม่ต้องเสียค่าเช่าช่องสัญญาน รายการที่ผลิตก็นำไปขายแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้
  3. สื่อสิ่งพิมพ์สามารถออก E-book หรือมี Official Account ตาม Social Media ต่าง ๆ ได้ แบบฟรี ๆ เช่นกัน
  4. ดาราก็นำตัวเองเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ย้ายฐานคนดูมาในแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมกับหาฐานคนดูใหม่ ๆ ไปพร้อมกัน

        เห็นไหมครับว่า การถูก Disrupt จะไม่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการปรับตัว จะสังเกตได้ว่าเมื่อธุรกิจต่าง ๆ เหมือนจะถูก Disrupt เพราะออนไลน์ ก็แค่ทำตัวให้กลืนไปกับสิ่งนั้น ๆ แล้วหาลู่ทาง จุดเด่น ที่จะทำให้ไปต่อได้โดยไม่ถูก Disrupt นั่นเองล่ะครับ

        ถ้าใครยังไม่เชื่อ ผมมีตัวอย่างเป็นกรณีศึกษามาให้ดูกัน อย่างที่บอกไปว่า YouTube หรือ Streaming ต่าง ๆ เนี่ยมาเพื่อ Disrupt วงการทีวี ภาพยนตร์กันอย่างมากเลยทีเดียว แต่ผมมีข้อมูลสถิติมาให้ลองพิจารณาดูก่อนที่จะฟันธงว่ามันเป็นแบบที่คิดจริงหรือไม่

การเติบโตจจาก Offline สู่ Online

        Top 5 YouTube Channel ที่มียอด Subscribers มากที่สุดของไทย ได้แก่ Workpoint ช่องวัน31 ช่อง3 แกรมมี่ และ อาร์สยาม ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นบริษัทที่เติบโตมาจาก Offline ทั้งนั้นเลย และที่สำคัญทุก Channel ที่ติดท็อป 5 นั้นมีช่องเป็นของตัวเองบนทีวีด้วย หมายความว่าเมื่อช่องเหล่านี้รู้สึกถูก Disrupt จากออนไลน์ ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็อาจจะตายไปและถูกแทนที่ในที่สุด ซึ่งช่องติดท็อป 5 ตามสถิติที่เห็น เขาใช้วิธีการศึกษา ปรับตัว เพื่อให้ยังมีผู้ติดตามรับชมอยู่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ คงเป็นการยากแล้วที่สมัยนี้ผู้คนจะรับชมอะไรสด ๆ บนหน้าจอทีวี แม้ตอนจบละครดังก็ไม่ได้ช่วยให้ถนนโล่งแบบสมัยก่อนแล้วล่ะครับ เนื่องจากออนไลน์มีคอนเทนต์มากมายให้เลือก ก็ไม่จำเป็นต้องดูอะไรสด ๆ แล้วก็ได้เพราะทุกอย่างล้วนมีรีรันในออนไลน์ ขึ้นอยู่กับว่าฟรีหรือต้องสมัครเป็นสมาชิกของแพลตฟอร์มนั้น ๆ (โดยส่วนใหญ่รายการทีวีจะรีรันฟรีทาง YoTube แหละครับ) กลายเป็นว่าดูทีวีไม่ทันก็ดูย้อนหลังในออนไลน์ได้ ทำให้คนผลิตสื่อต้องปรับตัวกันอย่างใหญ่โตเลยล่ะครับ จริง ๆ คนแทบทุกวงการเลยที่ต้องปรับตัวกับการเข้ามาของออนไลน์ แต่วงการสื่อก็จะร้อนแรงนิดหนึ่งในช่วงแรก ๆ

        ผมมองว่านี่เราอยู่ในยุคที่ไม่มีการแยกสื่อออนไลน์ออฟไลน์แล้วล่ะ เพราะสื่อออฟไลน์ก็ลงมาเล่นออนไลน์กันหมด เรียกได้ว่าคอนเทนต์ใครโดน เร็ว สม่ำเสมอ ก็ได้ยอดไป เพราะเมื่อคุณเป็นสื่อและลงมาเล่นออนไลน์ คุณต้องขายคอนเทนต์ครับ สังเกตง่าย ๆ ว่าต่อให้เป็นดาราดังบางคนลงมาทำช่องยูทูบ ก็ยังมียอดวิวสู้ยูทูบเบอร์อาชีพไม่ได้เลย นั่นหมายความว่าคอนเทนต์ต้องมาก่อน และนี่คือสิ่งที่ทั้งเวิร์คพ้อยท์ ช่องวัน ช่อง3 แกรมมี่ และอาร์สยาม ตระหนักได้ถึงตรงนี้ทำให้ยอด Subscribers พุ่งสูงติด Top 5 Youtube Channel ของไทย

        ว่ากันต่อเรื่องการผลิตสื่อ นอกเหนือจากการที่สื่ออฟไลน์ทำตัวกลืนไปกับแพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว อย่างที่ผมบอกว่าเรื่องคอนเทนต์เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อบริษัทผลิตสื่อต่าง ๆ มีกำลังในการผลิต ทั้งซีรีส์ รายการ ภาพยนตร์ และอื่น ๆ ที่คิดว่าเป็นคอนเทนต์โดนใจคนดู ก็ทำออกมาเสิร์ฟคนดูตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น HOOQ, Netflix, Line TV ฯลฯ นี่คืออีกหนึ่งวิธีการปรับตัวที่จะไม่ถูก Disrupt อย่างแน่นอนครับ

        เหตุผลที่ผมเลือกที่จะยกตัวอย่างวงการสื่อ โดยเฉพาะวงการทีวี ก็เพราะว่าในตอนเริ่มแรกเหมือนทีวีกำลังจะตาย บริษัทผลิตสื่อปลดพนักงานออกเป็นว่าเล่น แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แล้วหลาย ๆ บริษัทก็ทำได้ดีซะด้วย เพราะพวกเขาไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นคู่แข่ง กลับมองว่าเป็นโอกาส ทำความเข้าใจกับแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่เพื่อไม่ให้ย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังลงคลอง นี่คือความสามารถและทัศนคติล้วน ๆ เลยครับ

        ผมบอกเลยนะว่าทุกธุรกิจมีโอกาสถูก Disrupt จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเท่านั้นหรอกครับ ลองนึกภาพร้านสะดวกซื้อที่มา Disrupt ร้านขายของชำสิ ผมถึงได้บอกว่าทุกธุรกิจมีโอกาสโดนหมดแหละครับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองสถานการณ์และความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณทำอะไรเดิม ๆ แล้วจะหวังผลที่แตกต่าง อย่าเลยครับเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ปรับตัวไม่ได้ก็ตายไป แต่ถ้าปรับตัวได้ ก็ไปต่อได้อย่างแน่นอน


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า